ทาส หรือ ขี้ข้า
“ความทุกข์…มันมาจากการทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ที่เรียกว่าทำผิดในที่นี้หมายความว่ายังไง
หมายความว่า เราเป็นทาสนั้น
จดคำนี้ลงไปด้วย เพราะเราเป็นทาสอายตนะ

การเป็นทาสอายตนะ นั่นแหละ คือ ปัญหาทั้งหมดของความทุกข์
เป็นทาส หรือเป็นขี้ข้า ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเอง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันต้องการอะไร เราต้องไปหาให้มันเร็วๆ ใช่ไหม?
นี่เขาเรียกว่าเป็น “ทาส” ไม่มีความเป็นอิสระ…
เสรีภาพ ของ“พระอริยเจ้า” คือ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่เป็นบ่าว ไม่เป็น“ขี้ข้า”ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ปัญหาทั้งหลายมันอยู่ที่ เรานี่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี่ก็คือ..“เคล็ดลับ”
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “ผู้ที่จะเป็นครูควรจะรู้ความลับของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต”
Ⓜ️ เรื่องที่น่าสนใจ |

"พุทธทาสภิกขุ" ใครที่เคยอ่านหนังสือของท่านเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติในสวนโมกข์ย่อมจะเข้าใจถึงที่มาของปรัชญาและแนวคิดต่าง ๆ ของท่านได้ดี ในบรรดาความคิดริเริ่มอันหลากหลายของท่านพุทธทาสนั้น มีอยู่แนวคิดหนึ่งที่เคยเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน นั่นคือแนวคิดเรื่อง "เรียนพุทธศาสนาใน ๑๕ นาที" ท่านพุทธทาสกล่าวถึงแนวคิดนี้ว่า "ก่อนนี้เราเคยบอกว่า 'คนสามารถเรียนพุทธศาสนาได้ใน ๑๕ นาที' แต่เราจะกล่าวให้ยิ่งกว่านั้นว่า 'พุทธศาสนาเรียนได้ในพริบตาเดียวถ้าผู้นั้นมีอุปนิสัยถึงขนาดและเหตุปัจจัยทั้งหลายสมบูรณ์ทุกประการ ... ๑๕ นาที ยังนานนัก' พุทธศาสนานั้นถ้าจะให้เรียนกันภายใน ๑๕ นาที ก็เรียนได้ ถ้าจะให้เรียนกันในพริบตาเดียวก็ได้ โดยเรียนกันอย่างนี้ คือให้เรียนรู้ 'เช่นนั้นเอง' เรียนรู้ 'ความเป็นเช่นนั้นเอง' พูดได้ด้วยคำเพียงสามพยางค์ว่า 'เช่นนั้นเอง' รู้ 'ความเป็นเช่นนั้นเอง' ถึง 'ความเป็นเช่นนั้นเอง' นี่คือรู้พุทธศาสนาหมดสิ้น หลักปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนากี่ระบบก็ไปรวมอยู่ที่จุดปลายว่า 'รู้ความเป็นเช่นนั้นเอง' คือรู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงว่า 'มันเป็นเช่นนั้นเอง' หลัก 'ปฏิจจสมุปบาท' หรือ 'อิทัปปัจจยตา' ซึ่งครอบโลกนั้น มันสรุปเหลืออยู่เพียงว่า 'ตถตา' (เป็นอย่างนั้น)…

พระอรหันต์ เป็นผู้มี "สติ" ทุกเมื่อ ทุกกรณี ทุกสถานที่ "พระอรหันต์" จะเห็นรูป จะฟังเสียง จะดมกลิ่น จะลิ้มรส จะสัมผัส อะไรก็ตาม เหมือนที่คนธรรมดาเขาสัมผัสนั่นแหละ! แต่...ไม่มีผลเหมือนกัน คือไม่ได้ยึดถือ มันกระเด็นกลับออกไปเพียงแค่ผัสสะ มันไม่ปรุงเป็นเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ มันจึงต่างกับเราที่เป็น"ปุถุชน" อะไรเข้ามามันก็รับเอาเข้ามา มันไม่กระเด็นกลับออกไป เพราะฉะนั้น มันจึงไม่เป็นเพียงผัสสะ มันจึงเป็นเวทนาขึ้นมา เป็นตัณหาขึ้นมาทเป็นอุปาทานขึ้นมา เป็นชาติ ภพ ขึ้นมา และเป็นทุกข์ นี่คือวุ่นและเป็นทุกข์ เท่าที่กล่าวมาแล้วนี้ ถ้าฟังถูก เข้าใจ ก็จะพบเห็นได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่จะช่วยให้เรา"ว่าง"อยู่เสมอได้ ก็คือ "สติ" นั่นเอง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต"…

...เนื่องจากท่านพุทธทาสภิกขุ พบว่าตำราธรรมะภาษาไทยนั้นยังอธิบายไว้ไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเริ่มเขียนหนังสือ ตามรอยพระอรหันต์ โดยมุ่งหวังเพื่อให้เป็นแผนที่สำหรับการเดินทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ อันเป็นอุดมคติสูงสุดของพระพุทธศาสนา ซึ่งคำประณมพจน์และคำประกาศใช้นาม พุทธทาส ได้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือตามรอยพระอรหันต์นี้ ว่า พุทฺธสฺสาหํ นิยฺยาเทมิ สรีรญฺชีวิตญฺจิทํ พุทฺธสฺสาหสฺมิ ทาโส ว พุทฺโธ เม สามิกิสฺสโร - อิติ พุทฺธทาโส ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า พุทธทาส ท่านพุทธทาสภิกขุเล่าถึงที่มาของนามพุทธทาสไว้ดังนี้ เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พระพุทธศาสนาขึ้นมา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้าและเริ่มเข้าใจพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้รู้จักกัน ฉะนั้นจึงอุทิศตั้งจิตว่า เราจะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค็ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวก ทีนี้ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนเขาก็สวดทำวัตรเย็น ในบททำวัตรเย็นมันก็มีคำชัดเลยว่า "ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า" มันก็ยิ่งเข้ารูปกันกับ เราที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส จึงสมกับที่เรียกตัวเองว่า "พุทธทาส"…