“อย่าประมาทเพราะขันธ์ห้านี้ถึงแม้บุญกุศลมันจะตกแต่งให้ มันก็ไม่เที่ยง เพราะบุญกุศลที่ตกแต่งขันธ์ห้านั้นก็ไม่เที่ยงดังนั้นขันธ์ห้านี้จึงไม่เที่ยง ต้องให้ทำความรู้ ทำความเข้าใจอย่างนี้

ในระยะที่บุญกุศลยังรักษาขันธ์ห้านี้ให้มีกำลังวังชาอยู่แล้วก็ต้องรีบเร่งสั่งสมบุญกุศลให้เกิดมีในตนเสียให้เต็มที่ก่อนที่ขันธ์ห้ามันจะแตกดับทำลายไป หากผู้มีปัญญาย่อมหาอุบายเตือนใจของตนไม่ให้ประมาทอยู่อย่างนี้ เตือนใจว่า มัจจุราช คือ ความตาย นั่นน่ะเป็นภัยอันใหญ่ยิ่งต่อชีวิตนี้
เพราะใครๆ เกิดมาแล้วก็ไม่อยากตาย อยากมีอายุอยู่ยั่งยืนนานตลอดไป แต่เมื่อความตายมาถึงเข้าแล้วก็ย่อมเสียอกเสียใจ ย่อมสะดุ้งหวาดกลัวต่อความตายด้วย ทั้งไม่อยากตายด้วย นี่ล่ะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรณมฺ ปิทกฺขํ ความตายก็เป็นทุกข์ เว้นเสียแต่ผู้รู้แจ้งในขันธ์ห้าตามเป็นจริง

ท่านละความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจแห่งความรักความชังความหลงความเมาดังกล่าวมาแล้วนั้นได้เสียโดยประการทั้งปวง แต่เมื่อบุญกุศลที่ท่านบำเพ็ญมาแต่ชาติก่อนยังมีอยู่ท่านก็ยังไม่นิพพานก่อน อาศัยบุญเก่านั่นล่ะรักษาชีวิตนี้ไว้ ท่านก็ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นไป

เมื่อบุญเก่าหมดลงเมื่อใดแล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่นิพพานไป นั่นแหละผู้ที่พ้นทุกข์พ้นภัยในสงสารนี่ล่ะปรากฏว่ามีแต่ผู้มาเกิดอาศัยขันธ์ห้าอันเป็นมนุษย์นี่ล่ะทั้งนั้นเลย ขันธ์ห้าเป็นเทวดาก็มีแต่ว่าส่วนใหญ่เป็นมนุษย์นี่แหละ ดังนั้นนะอย่าไปปล่อยให้ขันธ์ห้านี้มันทรุดโทรมแตกดับไปเสียเปล่าๆ

เราได้ที่อยู่ที่อาศัยสร้างบุญสร้างบารมีแล้วเป็นอย่างดี อย่าใช้ขันธ์ห้านี้ไปทำบาป ผู้ใดอยู่ในเพศใดภูมิใดก็รักษาข้อวัตรปฏิบัติของตนอยู่ในเพศนั้นภูมินั้นให้ได้”

โอวาทธรรมหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ขออนุโมทนาบุญกับญาติธรรมผู้ใฝ่ในบุญ ใฝ่ในกุศลทุกๆท่าน ทุกๆคน สาธุๆๆ
Ⓜ️ เรื่องที่น่าสนใจ |

.....วันใดเห็นว่าจิตเป็นตัวทุกข์นั่นแหละเรียกว่าเรา “รู้ทุกข์” แจ่มแจ้งแล้ว เป็นภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรารู้อริยสัจแจ่มแจ้ง พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกขสัจเอาไว้ว่า “สังขิตเตนะ ปัฐจุปาทานักขันธา ทุกขา” โดยสรุปอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ขันธ์ทั้ง ๕ ย่อลงมาก็คือ รูป กับ นาม เราต้องเห็นรูปกับนามเป็น ตัวทุกข์ เราถึงจะปล่อยวางรูปนามได้ ถ้าปล่อยวางรูปนามได้ ก็พ้นทุกข์ได้ เบื้องต้นเราได้ยินว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ เราจะคิดว่า คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นทุกข์ พอเราภาวนาประณีตขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นทุกข์หรอก ขันธ์ทั้งหลายถ้าเราเข้าไป ยึดมันแล้วจะเป็นทุกข์ จะรู้สึกอย่างนี้ พอได้ยินคําว่า “ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์” ก็คิดว่าถ้ามีอุปาทานในขันธ์ ๕ ก็จะเป็นทุกข์ มีขันธ์ ๕ เฉยๆ ไม่ทุกข์…

"บุญ" คือ ความสุข "กุศล" คือ ความเสียสละ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เหมือนอย่างเราปลูกข้าวลงในนาอย่างนี้นะ เมื่อปรับปรุงดินให้ดีแล้วน้ำก็พร้อมอย่างนี้ก็ปักดำลงไปแล้ว ไม่ต้องได้อธิษฐานอ้อนวอนอะไรหรอกว่า ขอให้ข้าวนี้จงเจริญงอกงามขึ้นมาอย่างนี้..ไม่ต้อง ถ้าทำถูกต้องแล้วข้าวนั้นมันงามขึ้นมาเอง เมื่อมันมีปุ๋ยหล่อเลี้ยงลำต้นแล้วมันก็งามขึ้นมาได้เลย อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ อันบุญกุศลนี่ถ้าเราทำถูกทางแล้ว ไม่ต้องอธิษฐานอ้อนวอนอะไรก็เกิดขึ้นเองนะ อย่างเช่นที่ว่ามาแล้วนี่แหละมาเจริญอสุภกรรมฐาน ให้มากๆเข้าไปแล้วจิตคลายความกำหนัดยินดี คลายความโลภ ความอยากไม่มีที่สิ้นสุดถึงออกจากจิตใจแล้ว ใจสงบระงับลงไป ใจรวมลงไปแล้วเช่นนี้.. ”บุญกุศล” ก็เกิดขึ้นเองเลยบัดนี้นะ “บุญ” นั้นเป็นชื่อแห่งความสุข ครั้นเมื่อใจมันสงบลงไปแล้วมันก็สบาย...อันนั้นแหละ “บุญอยู่ที่ไหน ความสุขก็อยู่ที่นั่นแหละ” เหตุนั้นท่านจึงว่า บุญนี่เป็นชื่อแห่งความสุข “กุศล” นี่เป็นชื่อแห่งความเสียสละ ไม่ยึดไม่ถืออะไร ถ้าผู้ใดมีอุบายปัญญาสอนจิตให้ละความยึดความถือ ในสิ่งที่จะก่อให้เกิดราคะโทสะโมหะนี่นะ มีอุบายสอนใจให้ละให้ปล่อยให้วางมันออกไป กุศลมันก็เกิดขึ้น ให้เข้าใจคำว่า "กุศล" มันเป็นอย่างนี้แหละ คือ "จิตใจที่ฉลาดสามารถละกิเลสบาปอธรรม ให้ออกไปจากดวงจิตนี้ได้" นี่..นี่เรียกว่า “กุศล” ให้เข้าใจ เราจะไปหาตัวตนแห่งบุญกุศลนี่ไม่ได้ดอก...ไม่มี…

หัวใจของ การปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นทุกข์นั้น ต้องทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้วิธีและแนวทาง ก็จะทำให้เสียเวลา ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง หรือไม่ประสบความสำเร็จ กว่าจะลองผิดลองถูก กว่าจะเข้าใจ ก็อาจเสียเวลาไปนาน สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงเน้นสอนและแสดงโทษของการยึดมั่นอยู่ในอุปาทาน “ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์” พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อการตรัสรู้ เพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพาน คือพระองค์จะทรงหยิบยกและแสดงธรรมในเรื่อง “อริยสัจ ๔” เป็นส่วนมาก และในการแสดงธรรมอริยสัจ ๔ แต่ละครั้งนั้น จะมีทั้งอุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีได้ ดวงตาเห็นธรรม เป็นจำนวนมาก ในอริยสัจ ๔ พระองค์จะทรงเน้นแสดงตัว “สมุทัย” คือเหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ “ตัณหา” ความอยากได้และความไม่อยากได้ในกองขันธ์ ๕ อันเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้เราเป็นสุขและเป็นทุกข์ เช่น เวลาขันธ์ ๕ เป็นสุขก็ยึดไว้ เวลาขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ก็ผลักไส จึงเกิดความลำบากเพราะพยายามที่จะแก้ไข คือ อยากวิ่งหนีทุกข์และอยากวิ่งหาสุข…