ตรวจเช็ครถ ด้วยตัวเองง่ายๆ ก่อนเดินทาง ส่วนใหญ่มองข้าม เสี่ยงอุบัติเหตุ

1452
views
ตรวจเช็ครถ ด้วยตัวเอง

ส่วนใหญ่มองข้าม… เพื่อให้การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่ต้องหัวเสียเพราะปัญหาที่ไม่คาดคิด เช็ครถก่อนออกเดินทาง ยิ่งในช่วงเทศกาล การจราจรยิ่งอัด ยิ่งต้องใช้ระยะเวลามาก ดังนั้น ควรเตรียมการให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

ดังนั้นแล้วผู้ขับขี่รถยนต์ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจเช็คด้วยตัวเอง ง่ายๆ ใช้ระยะเวลาไม่นาน ได้ผลคุ้มค่า ตามไปดูกัน

ลมยาง

1. ยางรถยนต์

นี่คือสิ่งแรกที่จะต้องสังเกต ดูรูปลักษณ์ภายนอกของตัวยางรถยนต์ ความหนาของดอกยาง ยางที่ดีควรมีดอกยางความหนาเหลือไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตร และตรวจดูว่ามีรอยฉีก หรือว่าขาดของยางหรือไม่

เช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอเดือนละครั้ง และทุกครั้งก่อนออกเดินทาง จะช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัย ไร้กังวลว่ายางของคุณจะแบนรึเปล่า การเช็คลมยางทุกๆเดือนว่าลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขับขี่ จะช่วยให้ยางของคุณมีอายุการใช้ที่ยาวนานอีกด้วย ดูด้วยว่าฝายางลมปิดสนิทหรือไม่

2. เบรค

ระบบเบรก ABS สำหรับรถยนต์ในรุ่นใหม่ เป็นอุปกรณ์ที่มาตรฐาน ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อค เมื่อเหยียบคันเร่งแบบเต็มแรง ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับบนถนนที่เป็นพื้นเปียก เพราะผู้ขับขี่ก็ยังคงควบคุมทิศทางของตัวรถได้ ดังนั้นแล้วควรขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นก็เหยียบเบรคแบบเต็มแรง จะต้องทำในทิศทางที่ไม่มีคนอยู่และโล่งๆ เพื่อเป็นความปลอดภัย เช็คดูว่าได้ยินเสียงจากช่วงล่างหรือไม่

ที่ปัดน้ำฝน

3. ที่ปัดน้ำฝน

โดยปกติแล้วอายุเฉลี่ยของใบปัดน้ำฝนจะอยู่ประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของการใช้รถใช้ถนนของผู้ใช้ อากาศที่ร้อนอาจจะทำให้ใบปัดน้ำฝนเสียเร็วกว่าปกติ

ดังนั้นแล้วควรเช็คด้วยการฉีดน้ำล้างกระจก เพื่อดูว่ายังสามารถปัดน้ำได้เกลี้ยงหรือไม่ ถ้าหากรู้สึกว่าไม่ค่อยดี ให้รีบเปลี่ยนจะดีกว่า ใบน้ำฝนราคาแค่หลักร้อย

ขับรถให้ประหยัดน้ำมัน

4. ระบบไฟ

ระบบการให้แสงสว่าง คุณควรที่จะเช็คหลอดไฟทุกจุด โดยทดสอบทุกระบบไฟที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้รถคนอื่นสามารถมองเห็นรถคุณได้ในยามค่ำคืน เมื่อต้องเปลี่ยนหลอดไฟให้เปลี่ยนเป็นคู่ เพื่อความสว่างที่เท่ากัน

ทำความสะอาดโคมไฟหน้ารถเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแสงสว่างลดลงหรือเริ่มมีสีเหลือง โดยใช้ยาสีฟันขัดโคมไฟหน้าได้ด้วยตัวเอง ถ้าจะเปลี่ยนไฟหน้ารถในครั้งหน้าลองเปลี่ยนเป็นไป LED ที่ให้ความสว่างมากขึ้นและให้แสงสว่างที่เร็วขึ้น

5. ระบบปรับอากาศ

บ้านเราอากาศร้อนมาก การเตรียมการให้ระบบปรับอากาศทำความเย็นได้เป็นปกติ จึงควรดูแลเป็นพิเศษ และถ้าหากเราไม่ดูแลแอร์รถของเราจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาได้ ดังนั้นแล้วควรที่จะเปลี่ยนกรองแอร์ทุกๆ 10,000 โล เพื่อเป็นการยืดอายุให้กับรถของเรา

ขับรถเกียร์ออโต้

6. อะไหล่สำรอง

ตรวจดูอีกครั้งว่ายางอะไหล่และแม่แรงของเราเก็บอยู่ในตำแหน่งใด อุปกรณ์ชิ้นใดขาดหายไปหรือเปล่า ตรวจเช็คลมยางอะไหล่ให้แน่ใจว่าถ้าเกิดมีปัญหาระหว่างทางเราสามารถเอายางอะไรออกมาใช้ได้

ระดับน้ำหล่อเย็น

7. ระดับน้ำ

น้ำยาหล่อเย็น เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่ควรตรวจเช็คเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และในรถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็คให้บ่อยขึ้นครับ สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

การตรวจเช็คควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้วนะครับ โดยให้ตรวจดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ

แบตเตอรี่

8. แบตเตอรี่ และสายไฟ

ควรตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับตามที่กำหนด ดูแบตเตอรี่ด้วยว่ามีร่องรอยที่ผิดปกติหรือไม่ ตรวจดูที่ขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือเปล่า โดยทั่วไปแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งาน 2 ปี หรือรถบางรุ่นอาจจะใช้งานได้นานกว่านั้น โดยดูได้จากตัวเลขที่ระบุลงตัวแบตเตอรี่ได้เลย ส่วนใหญ่จะมาการระบุเอาไว้จากทางร้านค้า

การใช้งานแบตเตอร์รี่จริง ๆ หากระยะเวลาเกิน 1 ปีครึ่งนับว่าคุ้มค่าแล้ว สำหรับแบตเตอรี่ทั่วไป ดูได้จากตัวเลขที่ตอกลง บนตัวแบตเตอรี่ได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่ทางร้านค้าจะมีการตอกเอง ซึ่งการใช้งานหากเกิน 1.5 ปี ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ทั่ว ๆ ไป

เช็คน้ำมันเครื่อง

9. เช็คน้ำมันเครื่อง

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” อยู่เสมอ

*ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ แนะนำให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

ส่วนใหญ่สำหรับเครื่องยนต์ มันก็คือน้ำมันเครื่อง ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญอย่างมาก ควรดูระดับน้ำมันเครื่องตามก้านที่ระบุเอาไว้ หรือควรเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 10,000 กิโลเมตรเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถยนต์ของเรา

น้ำมันเบรค

10. เช็คน้ำมันเบรค

น้ำมันเบรคจะช่วยให้หล่อลื่นในส่วนต่างๆในระบบของเบรค นอกจากนี้ยังต้องการการดูแลว่าน้ำมันเบรครั่วหรือไม่ เกิดการสึกหรอหรือเปล่า โดยดูที่กระปุกน้ำมันเบรคจะมีขีดระดับน้ำมันเบรค ถ้าน้ำมันเบรคอยู่ที่ระดับ MAX หรือต่ำกว่านิดหน่อยถือว่าปกติ

โทรศัพท์ฉุกเฉิน

11. เบอร์โทรฉุกเฉิน แจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ติดเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินไว้ในรถเสมอเมื่อต้องเดินทางไกล

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับใครที่เดินทางไกลควรที่จะมีเบอร์ติดต่อญาติเอาไว้ก่อน และรู้เบอร์ที่จะต้องใช้ยามจำเป็นในเวลาที่รถเราเกิดเหตุ และคุณขับด้วยความเร็วระดับปานกลางเว้นระยะห่างคันหน้าให้พอดี และสิ่งที่สำคัญก็คืออย่าใจร้อน

ขับขี่รถยนต์

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในการขับขี่รถยนต์ ก็คือการเคารพกฎจราจร มีความระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง เว้นระยะห่างคันหน้าให้พอดี และมีน้ำใจแก่ผู้ร่วมทาง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ขับขี่รถของคุณทุกเส้นทาง แม้เจอสภาพอากาศเช่นใด ก็จะเพิ่มความปลอดภัยขึ้นได้ในทุกๆ ครั้ง

แต่ที่สำคัญที่สุด ขับรถต้องใจเย็น มีสติ และมีน้ำใจให้เพื่อนร่วมทาง เพียงเท่านี้ การเดินทางไกลก็จะปลอดภัยถึงที่หมายด้วยความสุขใจของคนที่รออย่างแน่นอน

เรียบเรียงโดย : team_NO