วิธีการสังเกตมนุษย์ที่มีองค์เทพแฝง ผ่านร่างได้ด้วยตนเอง

7949
views

ความ​รู้​เกี่ยวกับร่าง​ทรงองค์เทพ

“มนุษย์ที่มีองค์เทพแฝง” หรือที่เราต่างก็รู้จักกันดีว่า มนุษย์ที่ร่างทรง มาทรง หรือเป็นบุคคลที่องค์เทพผ่านร่าง เพื่ออาศัยช่วยเหลือผู้คนสั่งสมบารมี อะไรประมาณนี้นั่นแหละคับโดยเราจะมาดูกันว่ามีวิธีการสังเกตอย่างไรบ้าง ว่าตัวเราเองหรือบุคคลคนนั้นมีองค์เทพแฝงจริงๆหรือว่าเราเพียงแค่นึกมโนเอาเองว่าอาการที่เราเป็น หรือที่เราเห็นคนอื่นเป็นอยู่นั่นน่ะใช่ลักษณะอาการของคนที่มีองค์เทพแฝง หรือเป็นอาการเริ่มต้นความเจ็บป่วยด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่งกันแน่ เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่าคับ ว่ามีวิธีการสังเกตอย่างไร เชิญรับชมได้ดังต่อไปนี้

ข้อสังเกตมนุษย์ที่มีองค์เทพ มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก
1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น ไมเกรน
2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า
3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ
4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ ซิกเซ้นท์
5. ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก
6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี
7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว
8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา
9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป

ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างนั้นอาจเกิดขึ้นโดยการกระทำของสัมภเวสี ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกันคับ
1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้
2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ
3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม
4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ
5. ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป
อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง

พระอานนท์

เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯ

ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้ กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น

พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา พระอานนท์จึงทูลว่า
ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง
ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก
เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้
เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน

อนึ่ง องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการมาแฝงบังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ

ร่างทรง องค์เทพ

องค์เทพที่จะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์

ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
1. ญาณจุติ หมายถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติ เพื่อมารับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย
2. ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า องค์ ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2 ประการด้วยกัน

ความสัมพันธ์ในอดีต คือให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์ เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อร่างนี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจ หรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะพาสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐานองค์เทพท่านจะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่
1. เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
2.เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
3.เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อน
4.เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย
ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอ บังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพ โดยเป็นร่างทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกัน ในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควร และเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ

เทพพรหม

บางคนอาจสงสัยว่า เทพ พรหม มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีก ทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมด ดังนั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัย เพราะความเป็นเทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติภูมิ แต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปี สักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบากกรรม

เหตุฉะนั้นเทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า โอปปาติกะ คือมีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า เว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียดในระดับเดียวกันจึงสามารถมองเห็นตัวกันได้

ดังนั้นหนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือนมนุษย์ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด

ท้าวเวสสุวรรณ

ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่า หรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆ พอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไป ถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่ เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไร แต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง คนทรงเจ้า เจ้าเข้าทรง ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ เทพพรหม เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้น แต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธในเรื่องเทพพรหมว่ามีจริง เพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆ จนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก
การรับขันธ์

หลายคนคงจะประสพปัญหาเกี่ยวกับชีวิต หน้าที่การงาน การเจ็บป่วย เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับ ก็มักจะไปตามตำหนักทรงต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ถูกทักว่า มีองค์ ต้องรับขันธ์ จึงจะทำให้ชีวิตหน้าที่การงาน การเงิน คู่ครอง การค้าขาย หรือ สุขภาพจะดีขึ้น แรก ๆ ก็อาจเฉย ๆ พอถูกทักบ่อยเข้าชักเขวเหมือนกัน ก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปกับเขาด้วย ขันธ์หนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนเหยียบ 10,000 บาท แล้วแต่จะเป็นขันธ์ 5 ขันธ์ 8 ขันธ์ 9 ขันธ์ 10 ขันธ์ 16 ก็ว่ากันไป ตามอัตตภาพ ไม่รู้ว่าอุปทานหรือไม่ บางคนก็ว่าอะไร ๆ ดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่พบว่าเลวยิ่งกว่าเก่า ปัญหารุมเร้าหนักกว่าเดิม พาลเป็นบ้าเป็นบอ เจ็บป่วยหนักกว่าเดิมก็แยะ

ขันธ์ ๕

ขันธ์ 5 คือ เครื่องสักการะบูชา ที่ผู้จะมาขอเป็นศิษย์จัดมาให้ครูบาอาจารย์ เพราะในบรรพกาลผ่านมาจวบจนปัจจุบัน การเรียนรู้สารพัดวิชา จะต้องอาศัยการศึกษาจากผู้ที่เป็นครู และการจะขอเรียนวิชาการเหล่านั้นก็จำเป็นต้องจัดตั้งขันธ์ 5
ขันธ์ 5 ดังกล่าวประกอบด้วย ดอกไม้ขาว ธูป เทียน ผ้าขาว และใช้ใบตองทำกรวยทรงแหลม 5 กรวย บรรจุดอกไม้ ธูป เทียน 5 คู่ ใส่ลงในกรวยทั้ง 5 แล้วจึงนำวางลงบนผ้าขาวที่วางรองรับอยู่บนพานหรือภาชนะ แล้วจึงนำเข้าไปกราบครูบาอาจารย์ เพื่อขอเป็นศิษย์ ซึ่งผู้เป็นครูก็จะตรวจดูดวงชะตา ว่าสมควรจะรับเป็นศิษย์ได้หรือไม่ เพราะบางทีจะกลายเป็นศิษย์คิดล้างครูได้ในภายหลัง จึงจำเป็นต้องตรวจเช็คดูเสียก่อน หากไม่ประสงค์จะรับเข้าเป็นศิษย์ก็จะไม่รับขันธ์ 5 หากพิจารณาเห็นสมควรแล้วก็รับขันธ์ 5 นั้นมา

ขันธ์ครู คือ เครื่องมงคลทั้ง 5 ที่ผู้เป็นครูประสิทธิประสาทพร ในรูปแบบของวัตถุให้กับศิษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นที่รำลึกแก่ศิษย์ให้มีความขยันหมั่นเพียรศึกษาวิชาความรู้ที่ครูมอบให้ไปศึกษาเล่าเรียน
ขันธ์ 5 องค์เทพ หมายถึงขันธ์ 5 และขันธ์ครูรวมเข้าด้วยกันนั่นเอง
กรณีการรับขันธ์
ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

การรับขันธ์

ดังนั้นความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพ จึงเป็นสัญญาใจหรือข้อตกลงในการประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งเทพ ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องในความหมายดังนี้

ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้
ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง
ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ
ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ
ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

ถ้าจำเป็นต้องรับด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น นิมิตจากองค์เทพมาบอกเอง ก็ควรพิจารณาให้ดีว่าจะรับจากใคร หรือถ้าเป็นตำหนัก ก็ต้องดูว่าร่างนั้นปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมหรือไม่ เหมาะที่จะเป็นครูบาอาจารย์ที่จะทำพิธีมอบขันธ์ให้หรือเปล่า เพราะหากเป็นร่างที่แอบอ้าง หรือเป็นเทพกึ่งเปรต ก็อาจจะนำเอาบริวารที่เป็นตีนโรงตีนศาลมาครอบให้แทน ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่ อันนี้ต้องระวังให้หนัก
สัจจะองค์เทพฯ

มนุษย์เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องรับขันธ์ เพื่อยอมอุทิศตนเป็นร่างให้กับองค์เทพแต่ละองค์นั้น ก็จำเป็นต้องทราบว่า ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงสมควรแก่ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่น
1. การปฏิบัติตัว คือการทำตนเองให้เป็นนักบุญ หมั่นแสวงหาบุญกุศลเหมือนการสร้างสั่งสมบารมีให้มากที่สุด เช่น การไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจ สมาธิภาวนา
2. การปรนนิบัติ คือการใช้หนี้ใช้สิน อันเกิดจากชาตินี้และชาติที่ผ่านมา รู้จักกตัญญูและกตเวที เช่น การปรนนิบัติ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นต้น
3. การโปรดสัตว์ คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เท่าที่จะสามารถทำได้ รู้จักมีเมตตาธรรมนั่นเอง
ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฏแห่งกรรม

ลักษณะของชั้น

ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่าง ๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้
1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว
2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ
3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์
4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ
5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง

คำแนะนำ
ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตัวเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะคะ เพราะการที่มีองค์เทพมาอยู่กับเรานั่นก็ด้วยเพราะเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือปรารถนาที่จะได้ร่วมสร้างบารมีและช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน จึงพาสังขารผู้เป็นร่างทรงสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย “หิริโอตตัปปะ” คือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป จึงย่อมไม่สร้างปัญหาใดๆให้กับร่างสังขารที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านเกรงกลัวต่อบาป การที่จะทำให้มีความเจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนานั่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าไม่มีเลยจะดีกว่าค่ะ นอกจากจะมีแต่คอยช่วยเหลือเท่านั้น และในกรณีที่มีความเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนกระทั่งล้มละลาย นั่นถือเป็นเรื่องของวิบากกรรมยากที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือช่วยประคับประคอง หรือดลจิตดลใจให้ได้พบได้ไปหาผู้ที่สามารถช่วยแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้

ดังนั้นบางทีพอรับขันธ์เข้า แล้วหันหน้ามาปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ อะไร ๆ มันก็ดีขึ้นตามบารมีของตน เพราะก่อนหน้าเมื่อยังดีอยู่นั้น ก็ไม่เคยคิดปฏิบัติจริงจัง ทำบุญก็มีบ้างตามโอกาสเท่านั้น เพราะหากเทพจะมาอยู่ด้วย ก็คงไม่จำเป็นต้องทำพิธีอะไรมากมาย การรับขันธ์เป็นเรื่องสมมุติกันขึ้นมาเท่านั้น เพราะท่านจะมาอยู่กับมนุษย์นั้น บางทีก็ติดตามมาตั้งแต่เกิด อยู่ติดตามเรามาตลอด เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเอง

การรับขันธ์

สุดท้ายนี้ผู้ใหญ่​บ้าน​ประธาน​แอด​มิ​น​ขอฝากเรื่องของการรับขันธ์ เพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรมากมายนัก หากว่าเราทำอะไรล้วนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ทำให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนต้องมีทุกข์เพราะเราก็ยอดเยี่ยมที่สุด ยิ่ถ้าเราเป็นผู้ที่ครองศีลสม่ำเสมอ คิดดีทำดีพูดดีมีความจริงใจ และมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปในจิตวิญญาณอยู่เป็นนิตย์ ย่อมหมายความว่าคุณเป็นคนดี เมื่อทุกคนมีความสะอาดหมดจดทั้งภายนอกและภายใน เหล่าองค์เทพทั้งหลาย ที่เราเคยมีความสัมพันธ์กันมาแต่อดีตชาติ ก็จะปรากฏขึ้น มาหาเราเองเมื่อถึงช่วงเวลาที่จะได้พบกัน และช่วยกันร่วมทำบุญสร้างบารมี การรับขันธ์ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคนเสมอไปนะคะ ถ้าหากว่าผู้ที่เราไปยกขันธ์เป็นครูอาจารย์ที่ดีนั่นก็ถือว่าคุณโชคดี แต่ถ้าคนผู้นั้นเป็นผู้ทุศีลหามุ่งหากอบโกยเอาผลประโยชน์จากผู้ที่ไปรับขันธ์ยกพานไหว้ครู นั่นก็หมายความว่า คุณไปยกเอาขันธ์ใส่ดวงวิญาณภูติผีปีศาจอสุรกายมาไว้บูชานะ สรุปโดยรวมก็คือคุณไปนำเอาความหายนะมาสู่ชีวิตคุณด้วยความเต็มใจแต่ที่ทำไปเพราะความไม่รู้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือหายนะล้วนๆ บางคนดวงตกก็จะยิ่งตกมากถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มีเพราะคุณไปยกให้ ดวงวิญาณภูติผีปีศาจอสุรกาย เหล่านั้นมีอำนาจเหนือกว่าคุณ เมื่อคุณปฏิบัติดีก็อาจมีผลดีต่อคุณบ้างแต่ถ้าเมื่อใดคุณละทิ้งการเอาใจใส่ ดวงวิญาณภูติผีปีศาจอสุรกาย พวกนี้ก็จะเล่นงานคุณทันที ฉะนั้น ควรคิดให้ดีๆก่อนจะ ตัดสินใจทำอะไรแบบนี้นะ สำหรับเรื่องนี้ตัองใส่ใจกันหน่อยนะคับ

อย่าหลงเชื่อหรือมโนคิดเอาเองว่านั่นก็ดีนี่ก็ใช่ แล้วจะต้องเสียใจภายหลังนะจะบอกให้

ด้วยความปรารถนาดี จากผู้ใหญ่​บ้าน​ประธาน​แอด​มิ​น​มหานาคผู้​ยิ่งใหญ่ ขอขอบคุณเจ้าของ​บทความดีๆที่นำมาวันนี้

สาเหตุที่เขียนโพสต์นี้ขึ้นมาก็เพราะว่ามีลูกบ้านบางท่านทักเข้ามาถามเป็นการส่วนตัวผู้ใหญ่บ้านเลยถือโอกาสเอาข้อมูลลงให้อ่านเลยจะได้เป็นประโยชน์กับคนในกลุ่มหมู่มากด้วย

เพจ มหานาค ผู้ยิ่งใหญ่