พระมหาโมคคัลลานะเถระหลงทวีป พบพระพุทธเจ้า ในจักรวาลอื่น

1051
views
โมคคัลลาหลงทวีป

ความเป็นมา เล่าถึงตั้งแต่… เหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางแห่งองค์สมเด็จศรีศากยะมุนึสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระทัยชื่นชมโสมนัสยินดี ได้จัดทำผ้าเนื้อละเอียดมีค่ามาก ด้วยวิริยะอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ ด้วยน้ำพระทัยเจาะจงถวายแด่องค์สมเด็จพระศาสดา แต่เมื่อได้ นำผ้านั้นมาน้อมถวาย พระองค์ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ผันผายหันไปจะถวายแด่องค์อรรคสาวกทั้งสอง แต่ก็ไม่รับเช่นกัน แล้วพระนางก็น้อมถวายแด่พระเถรานุเถระพระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดรับผ้านั้น จวบจนกระทั่งถึงภิกษุใหม่รูปหนึ่ง นามว่า “อชิตะ” นั่งอยู่ข้างท้ายปลายแถว ในที่สุด ท่านก็รับผ้านั้น สร้างความเสียพระทัยให้แก่พระนางเป็นอันมาก หากแม้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ แต่องค์อรรคสาวกทั้งสองท่านใดท่านหนึ่งรับ

ก็คงจะสมพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่นี่กระไร พระภิกษุบวชใหม่ ไม่ได้สำเร็จมรรคผลใด ๆ เป็นผู้รับ พระบรมศาสดา เพื่อจะเปลื้องความกังขาสงสัยในน้ำพระทัยของสมเด็จพระน้านางแห่งพระองค์ที่ได้เคยฟูมฟักรักษาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้ทรงอธิษฐานบาตรของพระองค์ให้อัตรธานหายไป แล้วได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าท่านผุ้ใดสามารถหาบาตรของตถาคตเจอบ้าง ก็เห็นแต่
พระมหาโมคคัลลานะเถระ องค์เดียวที่มีฤทธิ์มาก จึงห่มผ้าเฉลียงบ่าประคองอัญเชิญทูลพระชินศรีบรมศาสตา เพื่อออกแสวงหาบาตรใบนั้น

การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าเรื่องนี้ ไว้ในการบรรยาย “วิชามหายาน” ของท่าน ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า “พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป เมื่อหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วให้รีบกลับมา”

เมื่อได้กราบทูลลาพระพุทธองค์แล้ว พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล แดนสุขาวดีพุทธเกษตร การหาบาตรดำเนินไปทั่วสากลจักรวาล ลุถึงแดนหนึ่งที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร” เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข ในดินแดนแห่งนี้มีแต่การศึกษาธรรมะ แม้แต่เสียงนกที่ร้องออกมาก็เป็นธรรมะ ณ ดินแดนแห่งนี้เอง มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดำรงอยู่ ทรงพระนามว่า “อมิตาภะพุทธเจ้า” ขณะนั้น พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก พระวรกายใหญ่โตมาก พระโมคคัลลานะเถระ ได้เหาะเข้ามาในที่ประชุมสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้เข้าไปยืนอยู่บนขอบบาตรของพระพุทธเจ้า ( แสดงว่าบาตรให้ใหญ่โตมาก สามารถขึ้น ใปยืนอยู่บนขอบบาตรนั้นได้) พร้อมประคองอัญชุลีถวายความเคารพ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ก็ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “นี่คืออะไรหนอ รูปร่างเล็ก ๆ ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย เธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท ภิกษุรูปนี้ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระสมณโคดมพุทธเจ้าแห่งชมพูทวีป ผู้มีฤทธิ์มาก กำลังแสวงหาบาตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ แล้วก็หลงเข้าสู่แดนของเรา จากนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ทูลถามทางที่จะกลับสู่ชมพูทวีป พระอภิตาภาะพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ เธอจงไปตามพุทธรัสมีแห่งเรา เมื่อพ้นขอบจักรวาลแห่งนั้น เธอก็จะเห็นพุทธรัสมีแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เธอตามพระพุทธรัศมีนั้นไป เธอก็จะสามาถเข้าสู่ชมพูทวีปได้

อนันตจักรวาล

เหตุการณ์ตอนนี้เองที่คนทั้งหลายกล่าวกันว่า “โมคคัลลาหลงทวีป”หรือ “โมคคัลลาหลงทีป” คือหลงแดน(หาทางกลับไม่ได้)นั่นเอง เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแห่งองค์อภิตาภะพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็ได้กราบทูลลาออกจากแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ตามพระพุทธรัศมีแห่งพระองค์ เมื่อพ้นจากแดนสุขาวดี ก็เห็นพระพุทธรัศมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย เข้าสู่ชมพูทวีปแล้ว เข้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดาทูลว่า ข้าพระองค์ได้ออกแสวงหาบาตรไปทั่วแดนจักรวาลไม่พบเห็นเลยพระเจ้าข้า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามพระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใด สามารถหาบาตรพบได้

ลำดับนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวกทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า “ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา” พระอชิตะจึงได้มีดำริว่า ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธองค์ได้ อาตมานี้ไซร้ มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ เหตุไฉน พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา

พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดของหมู่บริษัท มองขึ้นไปบนอากาศ แล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้งหลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์ที่จะตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตว์โลกให้พ้นจากสงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อยบริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมาสถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ

พระพุทธองค์ตรัสว่า อชิตะภิกษุรูปนี้ ไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นหน่อเนื้อพุทธรางกูรบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน อนาคตพระนามว่า ” พระศรีอาริยเมตไตรย” แล้วตรัสปลอบใจแด่สมเด็จพระน้านางประชาบดีโคตมีว่า พระองค์นั้นได้ลาภอันประเสริฐแล้วที่ได้ถวายผ้าแด่พระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำให้พระนางมีพระทัยแช่มชื่นเบิกบาน…

(…พระศรีอริยเมตไตรย หรือพระศรีอาริย์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๕ และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ มีความเชื่อกันว่า เมื่อสิ้นสุดศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันไปโลกจะล่วงเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย อายุขัยของมนุษย์ลดลงจนเหลือ ๑๐ ปี ก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี ผู้สลดใจกับความชั่วก็หันมารวมกลุ่มกันทำความดี จากนั้นอายุขัยเพิ่มขึ้นถึง 1 อสงไขยปี แล้วจึงลดลงอีกจนเหลือ ๘๐,๐๐๐ ปี ในยุคนี้จะมีพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีครบ ๘๐ อสงไขยแสนมหากัปจะลงมาตรัสรู้เป็น พระเมตไตรยพุทธเจ้า)

เรียบเรียง/อ้างอิง