พระโมคคาลานะ เสด็จโปรดมารดา ด้วยคาถาดับไฟนรก!! ช่วยยกระดับจิต บำเพ็ญกุศล จนมารดาพ้นจากความเป็นเปรต!

4905
views
มหาความกตัญญู

คาถา ดับไฟนรก “เถโร โมคคลัลาโน นะระกัตตัง โลหะกุมภี ทิสะวา อัคคิปัตติ กัมปะติ”   
ให้ใช้คาถาบทนี้ เสกเป่าคนที่ถูกน้ำร้อน หรือไฟลวกแก้และถอนพิษไฟหายสิ้นไม่ร้อนไม่พอง หากใครถือขลังๆ ก็จะสามารถเอามือล้วงลงในกาน้ำร้อนเดือดๆ ได้สบายไม่รู้สึกร้อน…..

ในสมัยหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี พระโมคคัลลานะเถระ ผู้บรรลุซึ่งธรรม บารมี ๖ มีปณิธานอันแรงกล้า ปรารถนาจักทดแทนพระคุณบุพการีชน

ดั่งนี้แล้ว จึ่งได้เพ่งมองโลกด้วยอภิญญาญาณ และแจ้งว่า…….

บัดนี้ผู้เป็นมารดาแห่งตนได้ไปถืออุบัติอยู่ ณ ท่ามกลางดวงวิญญาณ หิวกระหาย ไม่มีทั้งน้ำ และอาหาร ทั่วสรรพพางค์กาย ปรากฏเพียงหนังหุ้มกระดูก ได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก

พระโมคคาลานะ เสด็จโปรดมารดา

พระโมคคัลลานะ จึงนำผลาหารบรรจุเต็มบาตรเพื่อนำไปโปรดดวงวิญญาณของมารดา

โดยว่าคาถามหามงคล อันเป็นคาถาดับไฟในนรก ของพระโมคคัลลานะ

” เถโร โมคคัลลาโน นะระกัตตัง โลหะกุมพี ทิสาวะ อัคคิปัตติ กัมปะติฯ “

คาถาใช้ภาวนาแหวกเพลิงลงไปในนรก

( โดยพลานุภาพของคาถาบทนี้ คือ เสกเป่าคนที่ถูกน้ำร้อนหรือไฟลวกแก้และถอนพิษไฟหายสิ้นไม่ร้อนไม่พองหากใครถือขลังๆก็จะสามารถเอามือล้วงลงในกาน้ำร้อนเดือดๆได้สบายไม่รู้สึกร้อนเลย)

ทันทีที่ไฟนรกจาง พระโมคลลานะได้ยื่นบาตรให้แก่มารดา นางรับบาตรไป ก็ลูบคลำด้วย มืออันอ่อนแรง มือขวากอบคำข้าวเพื่อหวังจะบริโภค แต่ในบัดดล ยังมิทันที่อาหารจะล่วงเข้าสู่ปากของนาง ก็กลับกลาย เป็นถ่านเพลิงเผาไหม้ทุกคราไป ยังความสลดสังเวชแก่พระโมคคัลลานะ เป็นที่ยิ่ง

พระโมคคาลานะ

ด้วยเหตุนี้แล้ว พระโมคคัลลานะจึงกลับไปสู่ ณ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถึงการณ์ทั้งปวงให้พระพุทธองค์ทรงทราบ

สมเด็จพระศาสดาได้มีพุทธดำรัสว่า…..

“ดูกร โมคคัลลานะ โดยเหตุที่มารดาของท่านสั่งสมซึ่งอกุศลกรรม เป็นเนืองนิจ อาศัยกำลัง(บุญกุศล)แห่งตน(พระโมคคัลลานะ) แต่เพียงลำพัง มิอาจบรรเทาอกุศลกรรมนั้นได้ ถึงแม้ว่าอำนาจ แห่งความกตัญญูต่อบุพพการีชนของท่านจะสะเทือนถึงสวรรค์ โลกมนุษย์ ปีศาจ มารร้าย หรือแม้แต่พรหมโลกและจตุโลกบาลก็ตาม ยังมีแต่พลานุภาพแห่งที่ประชุมพระอริยสงฆ์สาวก ผู้มาจากทิศทั้งสิบ จึงสามารถปลดเปลื้องทุกข์แห่งมารดาท่านได้ บัดนี้พระตถาคตจักแสดง ธรรมอันเป็นเครื่องปลดเปลื้อง ความขัดข้อง ความทุกข์ และอกุศลมูลทั้งหลาย

พระโมคคาลานะ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมีดำรัสต่อพระมหาโมคคัลลานะว่า

“ในวันเพ็ญ กลางเดือนเจ็ด อันเป็นวาระแห่งวันปวารณาของพระสงฆ์ ทั่วทั้งทศทิศ เพื่ออานิสงค์อันพึงจักสำเร็จแก่บุพพการีชน ทั่วถึง ๗ ชั่วอายุ โมคคัลลานะ !! เธอจงจัดเตรียมภาชนะอันบริสุทธิ์อุดมด้วยผลาหาร ภักษาหารทั้ง ๑๐๐ อย่าง ผลไม้ทั้ง ๕ กับสิ่งสักการะบรรดามี ประทีป ธูปเทียน ชวาลา อันเป็นเลิศทั้งปวง ถวายแด่หมู่สงฆ์ ผู้มาจากทิศทั้ง ๑๐ หากสาธุชนใดพึงได้ถวายทานดั่งนี้แล้ว แด่ที่ประชุมมหาปวารณาสงฆ์ อานิสงค์อันประมาณมิได้ ย่อมบังเกิดแด่บุพพการีชนทั้งในปัจจุบัน

ตลอดจนถึง ๗ ชั่วอายุ แม้กระทั่งผู้อยู่ในคติทั้ง ๖ (สวรรค์ มนุษย์ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน สัตว์นรก) ท่านเหล่านั้นจักพ้นจากทุคติภูมิ ได้บังเกิด ณ สุคติภพ โภชนาหารกับทั้งพัสตราภรณ์อันปราณีต จักบังเกิดแด่ท่านเหล่านั้น แม้ผู้ยังชนม์อยู่ย่อมจักเป็นผู้มั่งคั่ง จักเป็นผู้มีอายุยืน”

แลบัดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพุทธบรรหารแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ ทั้งหลายให้ดำรงจิตแห่งตน มั่นคงอยู่ในสมาธิภาวะ แล้วจึงสังวัธยายมนตร์ อุทิศให้บุพพการีชนทั้งหลาย ครั้นแล้วหมู่สงฆ์ทั้งนั้น พึงรับ มตกภัตต่อเบื้องหน้าพุทธานุสติเจดีย์ในท่ามกลางหมู่สงฆ์

ทันใดนั้น มารดาแห่งพระมหาโมคคัลลานะก็ได้พ้นจากกัลป์แห่งเปรตภูมิ ด้วยกุศลนั้น พระมหาโมคคัลลานะ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์เจ้า ก็บังเกิดปีติในผลแห่งกุศลเป็นอันมาก

พระมหาโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ ได้ประคองหัตถ์อัญชุลีต่อเบื้องพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า…….

“บัดนี้ มารดาของข้าพระองค์ ได้รับอานิสงค์อันไม่มีประมาณ ก็ด้วย อาศัยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย หากในกาลภายหน้า บรรดาพุทธสาวกทั้งหลายปรารถนาจักบำเพ็ญกุศลทานอุทิศให้แก่บุพพการีชน ดั่งนี้บ้าง บรรพชนทั้งหลายกับผู้ล่วงลับทั้ง ๗ ชั่วอายุนั้นจักได้รับอานิสงค์ดุจเช่นนี้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก จึงมีพุทธดำรัสตอบว่า…

“ประเสริฐแล้ว สิ่งที่เธอกล่าวนั้นชอบแล้ว หากในภายภาคเบื้องหน้า สาธุชนทั้งหลายอันมีภิกษุ ภิกษุณี กษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารทุกชนชั้นกับทั้งสามัญชนทั้งปวงปรารถนาที่จักบำเพ็ญ กุศลทานอุทิศแด่บุพพการีชน ผู้ให้กำเนิดแล้วไซร้ ในวันเพ็ญกลางเดือน ๗ อันเป็นวันมหาปวารณาสงฆ์

เธอทั้งหลายพึงถวายโภชนาหาร กับทั้งของบริวารทั้งปวงแด่หมู่สงฆ์ผู้มาทิศทั้ง ๑๐ แล้วตั้งใจอุทิศส่วนแห่งบุญนั้น แด่บุพพการีชน ผู้ให้กำเนิดกับทั้งผู้ล่วงลับทั้ง ๗ ชั่วอายุ ให้ได้รับอานิสงส์เขาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมจักเป็นผู้พ้นจากทุคติภพ ได้บังเกิดในท่ามกลางสุคติภูมิ ได้เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พุทธสาวกทั้งหลาย ผู้มีมนสิการมั่นคงอยู่ในกตัญญุตธรรมระลึกถึง คุณแห่งบุพพการีชน มีคุณบิดา มารดา เป็นต้น

พระโมคคาลานะ

ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำของเดือน ๗ ทุกปี พึงประกอบกุศลกรรม ถวาย อุลลัมพนมตกภัต แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้ง ๑๐ ทิศ เพื่อแสดงซึ่งกตัญญุตาในผู้ให้กำเนิด แลผู้มีพระคุณที่ได้บำรุงเลี้ยงดูมา”

เมื่อได้สดับฟังพระธรรมของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว พระมหาโมคัลลานะพร้อมด้วยพุทธบริษัท ๔ ต่างปีติยินดีในธรรม และน้อมรับไปปฏิบัติโดยทั่วกัน

พระสูตร อันเป็นสัจพจน์ที่ว่าด้วยธรรมอันเป็นกตัญญุตกตเวทิตธรรม ต่อบุพพาการีชน ก็ยุติลงด้วยประการฉะนี้ ขอกุศลผลทานที่ทุกท่านร่วมใจกันจะถวาย อุลลัมพนมตกภัต นี้จงพึงบังเกิดแด่ บุรพชนต้นตระกูล บรรพกษัตริย์ ผู้รักษาประเทศชาติ

บุพพการีชน เหล่าญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วของทุก ๆ ท่าน เป็นผู้พ้นจากทุคติภูมิ ได้บังเกิดในสุขคติภูมิ ผู้ใดได้รับทุกข์ ก็จงพ้นจากความทุกข์ ผู้ใดมีสุข ก็จงมีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญกุศลนี้จงพ้นจากความทุกข์ ความขัดข้องทั้งหลาย

จงมีความสุข ความเจริญ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นผู้มั่งคั่ง อายุยืน ดุจดังอานิสงส์แห่ง “พระพุทธวจนะอุลลัมพนสูตร” ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ.

ที่มา : bp.or.th