คุณกำลังเลี้ยงลูก แบบพ่อแม่รังแกฉันอยู่รึเปล่า ? ขอขอบคุณข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี

1882
views

พ่อแม่รังแกฉัน เป็นคำที่ได้ยินกันมาอย่างช้านาน และแน่นอนว่า คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากเลี้ยงลูกแบบนั้น แต่บางครั้งมันอาจแฝงอยู่กับพฤติกรรมการเลี้ยงของเราแบบไม่คาดคิด วันนี้เราเลยทำแบบสอบถามมาให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำกันดู จะได้สำรวจตัวเองว่ามีวิธีการเลี้ยงลูกแบบไหนที่เราเผลอทำโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า

1. คุณตามใจลูกจนเกินไป

พ่อแม่ที่ยอมให้ลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะขออะไรก็ให้ไม่เคยขัด แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เหมาะ ไม่ควรก็ตาม อีกทั้งยังไม่มีการจำกัดขอบเขตหรือข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น การทำแบบนี้จะทำให้ลูกกลายเป็นคนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ ใครขัดใจไม่ได้ จึงทำให้เป็นคนมีนิสัยก้าวร้าว เห็นแก่ตัว

2. คุณไม่ให้ลูกลองทำอะไรด้วยตนเองบ้าง

พ่อแม่ย่อมรักและหวังดีกับลูกอยู่เสมอ ไม่อยากให้ลูกลำบาก จึงมีพ่อแม่บางคนที่คอยดูแล ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นป้อนข้าว เตรียมเสื้อผ้า จัดกระเป๋าหนังสือ หรือแม้แต่นั่งทำการบ้านให้ลูก ลูกแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะพ่อแม่คอยทำให้ทุกอย่าง การทำแบบนี้จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักช่วยตัวเอง มีแนวโน้มจะเป็นเด็กติดสบาย ขาดความมุ่งมั่น ขาดความพยายามในเรื่องต่างๆ อาจจะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำอะไรได้เอง เพราะแทบไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองทำด้วยตัวเอง

3. คุณเข้มงวดกับลูกมากเกินไป

การที่ให้ลูกอยู่ในกฎระเบียบ เชื่อฟังคำสั่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่ามากเกินไปนั่นอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เพราะการเข้มงวดกับลูก ลูกต้องทำทุกอย่างที่พ่อแม่สั่งเป๊ะๆ ตารางชีวิตแน่นเอียด ไม่ได้ออกไปเล่นหรือทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ เลย อาจทำให้เด็กปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยาก เพราะมีแรงกดดันมาบีบบังคับให้เขาทำแบบนั้น ยิ่งเราบีบเขายิ่งหนี ย่อมไม่เกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

4. คุณจัดการแทนลูกทุกอย่าง

การที่จัดการแทนลูกทุกอย่าง วางแผนทุกอย่างให้ลูกไว้เรียบร้อย ลูกต้องทำแบบนั้น แบบนี้ ให้ลูกเดินตามเส้นทางที่มีกลีบกุหลาบโปรยไว้ ไม่ให้ลูกลองเจอกับความลำบากบ้าง เแล้ววันไหนที่ลูกจะโต? การทำแบบนี้เขาจะทำอะไรเองไม่เป็น คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้มาแบบง่ายๆ ขาดความอดทนเมื่อเจอความยากลำบากในอนาคต

5. คุณตรวจสอบลูกตลอดเวลา

พฤติกรรมการสำรวจตรวจตรา ทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาในชีวิตของลูก ไม่ว่าลูกไปไหน ทำอะไร พ่อแม่จะคอยโทรเช็กทุกๆ ชั่วโมง ดูเหมือนว่าไม่มีความเชื่อใจเลย แม้แต่นิดเดียว การทำแบบนั้นจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่มีความมั่นใจ ไม่อยากพูดความจริงกับพ่อแม่

6. คุณคาดหวังกับลูกมากเกินไป

ความคาดหวังที่มากเกินไป พ่อแม่บางคนมีพฤติกรรมที่เคี่ยวเข็ญให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ตามที่คนเป็นพ่อแม่คาดหวัง เช่น ให้ลูกเร่งรัดฝึกหัดสาระเรียนรู้ที่เร็วหรือก้าวหน้ากว่าระดับอายุสมองหรือวัยที่เหมาะสม อยากให้ลูกเรียนรู้ไวๆ จะได้อยู่นำหน้าคนอื่น ทั้งๆ ที่อาจเป็นสิ่งไม่จำเป็น หรือคาดหวังให้ลูกต้องเรียนในสิ่งที่เราต้องการ เพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของลูก แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าลูกไม่ได้เป็นตัวแทน “ความฝัน” ของใคร

7. คุณปล่อยปละละเลย ไม่สนใจ

มีพ่อแม่มากมายที่มุ่งแต่การทำงาน หรือเรื่องส่วนตัวของตนเอง จไม่มีเวลามาสนใจ และลืมไปว่ามีคนตัวเล็กๆ คนนี้รอให้พวกเขาสนใจและใส่ใจอยู่เสมอ ซึ่งวิธีที่พวกเขาชดเชยเวลาที่เสียไปให้แก่ลูก คือการใช้เงิน และสิ่งของในการแก้ปัญหา แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ลูกต้องการที่สุดคือ “คุณ” ค่ะ การที่พ่อแม่ทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลย จะทำให้เขารู้สึกอ้างว้าง ขาดความอบอุ่น คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก ซึ่งทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนเหงา เข้ากับคนอื่นได้ยาก และขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

8. คุณให้เทคโนโลยีเป็นพี่เลี้ยงของลูก

ไม่ว่าจะทำอะไร หรืออยู่ที่ไหน คุณมักจะยื่นสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ตเป็นของเล่นให้ลูกรึเปล่า เพราะเห็นว่าพอลูกเล่นแล้วก็อยู่เฉยๆ นั่งอยู่หน้าจอได้นานเป็นชั่วโมงๆ ไม่ร้องไห้โวยวายหรือเรียกร้องอะไรเลย การที่คุณปล่อยให้เทคโนโลยีกลายเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ของลูก จะทำให้คุณเสียใจอย่างแน่นอน เพราะผลเสียของการให้ลูกใช้เทคโนโลยีแต่เด็กจะส่งผลเสีย ต่อ ร่างกาย ทั้งดวงตา สมอง พัฒนาการด้านต่างๆ

ลูกจะดีได้เริ่มต้นจากพ่อแม่ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน

ขอขอบคุณข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี
เนื้อหาต้นฉบับ : postdonjai