เริ่มทดลอง “ฟ้าทะลายโจร” รักษาโควิด-19 ในคน

948
views

กรมแพทย์แผนไทยฯ พร้อมเริ่มวิจัย “ฟ้าทะลายโจร” รักษาโควิด-19 ในคน หลังเปลี่ยน รพ.ศึกษาจากสถาบันบำราศฯ เป็น รพ.สมุทรปราการ และ รพ.บางละมุง หลังผู้ติดเชื้อในประเทศน้อย เหลือแค่คนกลับจากต่างประเทศ เริ่มทดลองจากขนาด 60 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ในผู้ป่วยมีไข้ ไอ ตัวร้อน อยู่ในอาการไม่เกิน 72 ชั่วโมง

นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยฟ้าทะลายโจร หลังทดลองเบื้องต้น เมื่อไวรัสโควิด-19 เข้าเซลล์แล้วมีผลในการฆ่าไวรัสและไม่ทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ ว่า กรมฯ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ในการศึกษาสารสกัดฟ้าทะลายโจรขนาดสูงต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19

แต่เดิมขอทำการศึกษาทดลองในผู้ป่วยที่สถาบันบำราศนราดูร แต่ขณะนี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19ในไทยมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศและอาการไม่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศฯ มีจำนวนน้อยหรือไม่มีผู้ป่วยเลย กรมฯ จึงขออนุญาตคณะกรรมการฯ เปลี่ยนสถานพยาบาลเป็น รพ.สมุทรปราการ และ รพ.บางละมุง ที่รับผู้ติดเชื้อเข้ารักษา หลังตรวจพบว่าป่วยระหว่างกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) โดยมีความพร้อมตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา และดำเนินการได้ทันทีหากมีผู้ติดเชื้อตามเกณฑ์เข้ารับการรักษา

นพ.มรุตกล่าวว่า ผู้ติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การทดลองฟ้าทะลายโจร คือ เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิด-19 มีอาการอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง มีอาการระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง คือ ไข้ ไอ ตัวร้อน ซึ่งปกติจะไม่ได้มีการให้ยาชนิดไหนอยู่แล้ว ระยะแรกจะทดลองในกลุ่มตัวอย่าง 6 ราย ได้รับยาแคปซูลสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 60 มิลลิกรัม หรือ 3 เท่าของขนาดปกติ วันละ 3 ครั้ง เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นชัดเจนหรือไม่ ถ้าดีขึ้นไม่ชัดเจน

เช่น ไข้ลดลงไม่ต่างกัน ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัวอ่อนเพลียไม่ต่างกัน ก็จะดำเนินการทดลองต่ออีก 6 ราย ได้รับยาแคปซูลสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 100 มิลลิกรัม หรือ 5 เท่าของขนาดปกติ วันละ 3 ครั้ง รวมถึงดูว่ายาฟ้าทะลายโจรช่วยลดเอนไซม์ตัวที่ทำให้คนไข้อาการแย่ลงจากการที่ทำลายปอด ทำลายผิวหนังหรือไม่ด้วย เพราะในทางทฤษฎีฟ้าทะลายโจรจะช่วยลดตรงนี้และจัดการกับเชื้อโรคโควิดด้วย

“การทดลองในคนมีความจำเป็นต้องดูผลทั้ง 2 ด้าน เพราะเป็นความหวังของประเทศไทยที่จะให้ฟ้าทะลายโจรเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งในงานวิจัยพบว่าฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาโรคจากไวรัสโคโรน่าทั่วไปได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ การทดลองในคนระยะแรก

เบื้องต้นจะเน้นดูเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในหลอดทดลองรู้อยู่แล้วว่าปลอดภัย เพราะว่ามีส่วนที่ทำให้ตับ ไตเกิดปัญหาน้อยมาก อาจจะมีปัญหาในบางคนที่ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ หรือความดันต่ำ และต้องการรู้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่มันเกิดขึ้น ทั้งในส่วนของอาการที่แสดงและผลของเลือดว่าดีขึ้นอย่างไร และผลเอนไซม์ไซโตไคน์ที่มีผลทำลายต่อปอด หัวใจ ตับลดลงใช่หรือไม่ ซึ่งฟ้าทะลายโจรมีส่วนที่ช่วยป้องกันไวรัสก่อโรคโควิด-19 ไม่ให้เข้าเซลล์ เมื่อเข้าไปแล้วก็ลดการแบ่งตัว ยับยั้งเชื้อหรือฆ่าเชื้อ หากได้ผลดีและมีราคาถูก ที่สำคัญเป็นสมุนไพรที่ผลิตในประเทศไทย 100%” นพ.มรุตกล่าว

ถามว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อในประเทศน้อยลง ไม่ได้ทำให้โครงการสะดุดหรือไม่ นพ.มุรตกล่าวว่า โครงการวิจัยจะช้ากว่าเดิมจากที่จะดำเนินการในช่วง เม.ย. – ก.ค. 2563 ก็จะต้องขยับออกไป เพราะไม่มีผู้ป่วยที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัย ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อ อีกทั้งการเปลี่ยนสถานพยาบาลไปที่ รพ.สมุทรปราการและ รพ.บางละมุง ก็จะทำให้เวลาการวิจัยยืดออกไป เพื่อให้กระบวนการวิจัยต่างๆ มีความชัดเจนถูกต้อง มีคุณภาพและมาตรฐาน เพราะหากผลการวิจัยสำเร็จและมีการรายงานผลแล้วทั่วโลกจะต้องให้การยอมรับ

เมื่อถามว่า กรมฯได้รับการจัดสรรงบประมาณเงินกู้ที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับ 4.5 หมื่นล้านบาทหรือไม่ นพ.มรุตกล่าวว่า กรมฯ ได้รับการจัดสรรราว 200 ล้านบาท นำมาใช้ในงานวิจัยสมุนไพรที่มีศักยภาพในการจัดการกับโรคโควิด-19 ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงจัดหาฟ้าทะลายโจรเพื่อให้ประชาชนมีติดบ้านติดตัวไว้ เมื่อเริ่มป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดจะได้ใช้เพื่อบรรเทาอาการหวัด

หรือถ้าเป็นโควิดก็หวังว่าจะหายป่วยไปเลย โดยไม่ต้องไปตรวจยืนยันหาเชื้อโรคโควิด และทั้งหมด 100% เป็นการผลิตในประเทศไทย ช่วยให้เกษตรกร ผู้ผลิตมีรายได้ และผู้ป่วยเองก็ปลอดภัย สบายใจจึงช่วยคนไทยแน่นอน และถ้าผลวิจัยได้ผลออกมาชัดเจนว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโควิดได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีตลาดที่กว้างขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เนื้อหาต้นฉบับ